วันพฤหัสบดีที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2552

สิ่งที่เป็นความจริง

ความฝันของเด็กบ้านนอก
อนาคตคือสิ่งที่มันไม่แน่นอนดังนั้นคนเราทุกคนต้องมีชีวิตต่อไปเพื่อต่อสู้กับสิ่งที่มันไม่แน่นอน หรือที่เรียกว่า “อนาคต” หลายคนอาจจะสงสัยถ้าหากว่ากล่าวเช่นนี้เพราะเราจะต่อสู้กับอนาคตได้อย่างไรเมื่ออนาคตที่ว่ามันยังมาไม่ถึง หากว่าคุณคิดแบบนี้อยากให้คุณเปลี่ยนความคิดเสียใหม่ จริงอยู่ถึงแม้อนาคตที่ว่ามันยังมาไม่ถึงแต่คนเราอย่าลืมว่าทุกคนมีอดีตถ้าพูดถึงอดีตปัจจุบันหรือตอนนี้ก็คืออนาคตของอดีตนั่นเอง ดั่งนั้น อดีต ปัจจุบัน และ อนาคตก็คือสิ่งที่ไม่แน่นอนเสมอ ด้วยเหตุนี้เราทุกคนก็เลยต้องดิ้นรนและต่อสู้กับจอมปีศาจที่น่ากลัวและโหดร้ายยิ่งกว่าสิ่งใดๆ นั่นคือ “กาลเวลา”หรือ “เวลา” ปีศาจที่ไม่มีใครและสิ่งใดที่จะสามารถหยุดมันได้ บางคนอาจจะเถียงว่าหยุดมันได้ แต่ที่ว่าหยุดได้นั้นคือหยุด (ในความฝัน) ได้ยินอย่างนี้แล้วหลายคนถึงกับอมยิ้ม แต่อย่าลืมว่าคุณก็คือหนึ่งในนั้นผู้หยุดเวลาได้คนหนึ่ง แต่มันก็ต้องฝันเหมือนกัน (แล้วหยุดในความฝัน)เช่นเดียวกัน ในขนาดที่เรามีความสุขกับการใช้ชีวิตทุกๆวินาที อย่าลืมว่า ปีศาจกาลเวลาได้เดินหน้าไปยังจุดจบของมันหรือที่เรียกว่า เวลาเที่ยงคืน 24 นาฬิกา แล้วมันก็จะเริ่มเดินใหม่ (ที่ว่าจุดจบน่ากลัวจัง) การเกริ่นนำนี้ไม่ได้เป็นการล้อเล่นและอำใครเป็นอย่างใดเลยแค่อยากจะบอกกับทุกๆคนว่า ชีวิตคนทุกคนจะมีจุดจบเหมือนเวลาเหมือนเช่นกันหรือที่เรียกว่าจุดจบของชีวิต คนไม่เหมือนเวลาเพราะคนไม่สามารถตื่นมาเดินได้ใหม่เหมือนเวลา จุดจบของชีวิตที่ว่าก็คือความตาย สิ่งที่คนหรือสัพสิ่งบนโลกไม่อาจหลุดพ้น ด้วยเหตุนี้จงใช้ชีวิตทุกวินาทีอย่างมีสติและให้มีคุณค่ามากที่สุด สิ่งสำคัญที่สุคือต้อง คิดดี พูดดี ทำดี สุดท้ายท้ายสุดเป็นคนดี ของครอบครัว สังคม ประเทศชาติ และ โลก ด้วย ดั่งคำที่ว่า

“ เอาความดีเป็นแกนกลางทางชีวิต
เอาความคิดเป็นเครื่องช่วยอำนวยผล
เอาแรงกายเป็นกลไกภายในตน
นี่คือคนมีคุณค่าราคางาม ”
เจริญสุขสวัสดี
(ความฝันของเด็กบ้านนอก)

วันจันทร์ที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2552

หน้าที่ของครูโดยแท้

“การฝึกผู้ไม่รู้ให้รู้ ไม่จำเป็นต้องลงโทษเฆี่ยนตี ต้องสอนแบบไม่บังคับ ไม่เฆี่ยนตี เพราะการเฆี่ยนตีคือโทสะ เหมือนการทำให้น้ำขุ่นจะไม่เห็นตัวปลา จิตไม่สงบก็ไม่เกิดปัญญา...ครูสามารถฝึกลิงได้ด้วยความรักและเมตตา”

“ครูที่เป็นครูต้องสอนศิษย์ได้ทุกคน จะเลือกรับเฉพาะคนฉลาดเท่านั้นไม่ได้ เพราะถ้าคัดเลือกโดยสอบเข้า เท่ากับปฏิเสธคนอีกจำนวนมากไม่ให้มีโอกาสเรียน แปลว่าสังคมมีการแบ่งแยกและทอดทิ้งคนที่สอบไม่ได้ แล้วเด็กที่สอบคัดเลือกเข้าที่ไหนไม่ได้หรือเด็กที่โง่นั้นจะเอาไปไว้ที่ไหน ใครจะรับผิดชอบคนเหล่านั้น”